Thursday, January 20, 2011

เรื่องครอบครัวของลุงกับป้า ตอนที่ 172

ตอนที่ 172 - 18 January 2011 - 12:45 PM
by Hi s Tales on Tuesday, January 18, 2011 at 2:17am

2-3 วันมานี้เราสังเกตุว่าลุงดูสีหน้าไม่สู้ดีเลย เท่าที่เห็นลุงยังมีอาการเครียด เกี่ยวกับเรื่องที่ลุงพึ่งได้รับรายงานว่าจากหน่วยข่าวกรองของโรงงานว่า ฝ่ายตรงข้ามที่เป็นศัตรู ของลุงซึ่งตอนนี้นับวันยิ่งจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ที่ลุง และลูกๆ ชายทั้ง 3 ได้คิดเอาไว้เป็นการคาดการณ์ที่ผิดมหันต์

เพราะเหตุนี้เอง ลุงเรียกนะจ๊ะ ให้มาพบถี่มากขึ้น ลุงได้สอบถามกับ นะจ๊ะ อยู่บ่อยๆ ว่า เป็นเพราะอะไร ทำไม สถานการณ์โรงงานถึงได้เป็นเช่นนี้ ต่อไปนี้ลูกจ้างอาจจะได้เห็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การจัดอีเว้นท์มากกว่าที่เป็นอยู่อีกหลายเท่าตัว

ใครที่คิดต่างไป ก็อาจจะได้รับแจกทัวร์ไปเที่ยวฮ่องกงจากลุงซัก 2-3 ปี แค่นี้ก็น่าจะเรียบร้อย ลูกจ้างที่เหลือจะกลับมา Love Love กับลุงเหมือนเช่นเคย



เราได้เคยรายงานไปแล้วว่า ตอนนี้ลุงแต่งตั้ง ธารินทร์ ให้เป็นแม่งานในการติดต่อกับคนของแมว ลุงต้องการให้แมวเลือกทางเดินว่า แมวจะเลือกอะไรระหว่าง จะเป็นขี้เถ้าไม่ได้กลับบ้าน หรือจะยอมเป็นขี้ข้าให้กับลุง

ลุงต้องการให้แมวนำลูกน้อง และคนที่รักแมวกลับมาเป็นฝุ่นใต้ตี และสับสนุนลุงเหมือนเดิม แล้วลุงจะเวฟโทษที่แมวได้รับให้

เราว่าการต่อรองดูแล้วไม่น่าจะเป็นผล เพราะไม่อย่างนั้นลุงคงไม่เรียก ธารินทร์ มาเป็นแม่งาน งานนี้ลุงได้ใช้กลยุทธเดิมนั่นก็คือ

เล่นงานผัวไม่ได้ก็เล่นงานเมียแทน



วิธีการเช่นนี้ไม่ใช้แมวเป็นรายแรกที่โดน เพราะ ปรีดาก็เคยโดนมาแล้ว ที่ลุงเล่นงานปรีดาไม่ได้ก็เอาลูกเอาเมียเป็นตัวประกันเข้าคุกแทน

แต่ ก็ไม่ใช่จะมีใครที่ไม่ยอม อย่างน้อย ขนอมก็ยอมเลือกที่จะเป็นขี้ข้าแทนที่จะเป็นขี้เถ้า เพราะตอนนั้น ลุงรู้ว่า ขนอมก็เป็นคนที่รักลูกรักเมีย เหมือนแมว ขนอมรักเมียมากจนเคย หลุดคำพูดที่ว่า

จงกลดี จงกลดี แทนคำว่า จงทำดี จงทำดี



น้อย คนนักที่จะรู้ว่า การที่ขนอมกลับเข้ามาบวชเณรนั้น จริงๆ แล้วเขาเองก็ไม่อยากที่จะกลับเข้ามา เพราะรู้ดีว่า การกลับมามันเสี่ยงและบาปมากกับการเอาผ้าเหลืองมาบังหน้า ขนอมโดนกดดันหลายครั้งสุดท้ายขนอมก็ต้องจำใจกลับเข้ามา เพื่อแลกอิสระภาพของลูกและเมีย (เอกสารบทสนทนาตรงนี้มีอยู่จริง )



วัด ที่ขนอมบวชก็ที่วัดเดียวกับลุง วัดนี้จะมีใครเข้าไปบวชได้ ถ้าลุงไม่ไฟเขียว พระที่บวชให้ขนอมก็คนเดียวกับที่บวชให้ลุง ลุงเองก็เป็นคนมอบผ้าไตรให้ขนอม

หลังจาก เกิด วันเผาสด สมใจลุง ลูกเมียขนอมก็ไม่ต้องติดคุก แถมยังได้สายสะพาย เมื่อตอนที่ขนอมตาย ลุง ป้า และลูกๆ ก็ไปงานศพ อวยกันอย่างออกหน้าออกตา



แต่ล่าสุด แมวไม่ยอมเลือกเอาซักทีว่า จะเป็นขี้เถ้า หรือเป็นขี้ข้า ลุงเองก็คงรอไหว เพราะ แมวคิดว่า ลุงเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ ประเภท เสร็จนาฆ่าโคสึก เพราะมีตัวอย่างให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ปลาสลิด บิ๊ก ส ล่าสุดก็เป็นลุงหมาก ลุงหมากนี้ถือว่ารักตรอบครัวของลุงมาก แต่สุดท้ายแกก็โดนเก็บ ลุงแกเขียนจดหมายลาตายไว้ให้เมียก่อนตาย ที่ใครอ่านแล้วก็คงเข้าใจว่าลุงหมากรู้อะไรเป็นอะไร



อีกไม่ นานเมียแมวโดนแน่นอน 2 ปี และจะไม่มีภาคต่อ ใครอยากหนีได้ก็หนีไป งานนี้ลุงต้องรีบปิดเกมส์เร็ว ตอนนี้เราก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมลุงถึงเรียกใช้งาน ธารินทร์ เพราะหลังจากที่ลุงเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนต์เรื่อง วันเผาสด เมื่อเกือบ 40 ปีก่อน

ตอนนี้ลุงคงอยากเอามันกลับมารีรันฉายใหม่ใหม่ มิเช่นนั้นลุงคงไม่เรียกหา ธารินทร์ บ่อยมากขึ้นในช่วงนี้ สถานการณ์โรงงานไม่ค่อนสู้ดีเลยจริงๆ



และตอนนี้เราก็เข้าใจ ลุงแล้วละว่าทำไมลุงถึงต้องเล่นงาน เอาเมียศัตรูป็นตัวประกันอยู่ทุกรายไป ไม่ว่าจะเป็นเมีย ปรีดา ขนอม และล่าสุดเมียแมว

ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะล่าสุดเมืออาทิตย์ เหตุเกิดที่โรงแรมเมืองสวรรค์ ใจกลางกรุง

เมียสุดที่รัก ของลุงไปทำอะไรกันกับ Winston



ก็ ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าทั้งสองไปทำอะไร ถ้ารู้ลูกจ้างทุกคนรู้แล้ว ก็คงจะหายสงสัยในความคิดของลุง เพราะนี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในความคิดของลุงที่ว่าไม่อยากเห็นคู่ผัว- เมีย ของอดีต ผจกอื่นๆ

รวมไปถึงคนในครอบครัวลุง ไม่ว่าจะเป็น ลูกๆ หลานๆ



ลุงคงแอบมีปมในใจว่า





ชีวิตคู่ตูไม่มีความสุข คนอื่นก็อย่าหวัง

Wednesday, July 21, 2010

พระมหากษัตริย์ไทย ยังคงรวยที่สุดในโลกพระราชาทั้งหลาย เป็นปีที่สามติดต่อกัน

The World's Richest Royals Page 2 of 2 - Forbes.com

The World's Richest Royals Page 2 of 2 - Forbes.com

แม้ว่าทรัยพืสินยังอยู่ 30 billion เหรียญ แต่ก็ครองอันดับหนึ่งเหนียวแน่นอีกเป็นปีที่สาม

ประชาชนไทย ภูมิใจกันไหมครับ?

Thursday, June 10, 2010

วันใดขาดไพร่แล้วเธอจะรู้สึก


ข้าวที่หวานซ่านลิ้นเคยกินอิ่ม
ปลาที่ชิมเนื้อที่ซดปรากฎหอม
ผักที่สดมดที่นำยำจานทอง
ตึกที่สร้างทางที่ท่องต้องมือใคร

โต๊ะเก้าอี้มีใช้ที่ในบ้าน
เทพประทานให้ท่านซื้อหรือไฉน
เตียงที่นอนหมอนที่เห็นจากเอ็นใคร
ฝ้ายดอกไหนไม่ผ่านการใช้มือ

เสียภาษีมีเงินเกินหลายล้าน
กำไรท่านทำได้ไฉนหรือ
ฤามิใช่ได้ทุนต่ำคนทำมือ
ฤานั่นคือภาษีควายไร้หมายความ

น้ำพึ่งเรือเสื่อพึ่งป่าร่วมอาศัย
เป็นนายใครหากคนผอมไม่ยอมล่าม
จะนำใครไหนเล่าเขาไม่ตาม
เราถึงยามมองฉันเธอเสมอเทียม

มือปลูกข้าวเขาด้อยค่าน้อยหรือ
เปรียบมือถือปากกาทองที่ผ่องเอี่ยม
ลำแขนปูดเอ็นโป่งดำโก่งเกรียม
มีค่าเทียมกว่าแขนผ่องทองงามฤา?

จึงสมควรเห็นคนเป็นคนอย่าง
มิใช่ต่างอย่างควายคล้ายกระสือ
จึงควรรักคนไทยในฝีมือ
มิใช่ถือศักดิ์แบ่งแล้วแย่งครอง

Sunday, May 30, 2010

Facebook | Videos Posted by Naigod Jirasak: ความจริงจากปากชาวบ้าน

Facebook | Videos Posted by Naigod Jirasak: ความจริงจากปากชาวบ้าน

ชาวบ้านพวกนี้ เหมือนผู้ก่อการร้ายหรือ? ท่าทางเป็นผู้โกหกหรือ?
พวกนี้สามารถทำร้ายทหารได้หรือ?

อภิสิทธิ์เอ๋ย นายไม่่รอดแน่นอนแล้ว...

พวกเจ้าจักอยู่อย่างไร ไม่ตายล้ม?

เกิดมาสองมือมีไม่สี่สาม
สองตีนตามแต่น้อยไม่พลอยเพิ่ม
มีหนึ่งหัวตัวไหล่ไม่มีเติม
คนจึงเริ่มแรกร่างอย่างเดียวกัน

อันรวยจนคนสร้างบนทางแต่ง
ก่อกำแพงแบ่งชนบนเขตขั้น
คนจึงก่อต่อยศประโยชน์พัน
มีกีดกันหยันเหยียดเกียรติคนรอง

อันอำนาจวาดใฝ่อยากได้ทั่ว
เห็นแก่ตัวต่อปล้นชนทั้งผอง
สร้างระบบกลบเกลื่อนเบือนครรลอง
ทำให้มองการเมืองเรื่องเหนือชน

ทำประชาชนทั่วให้กลัวย่อ
สร้างคำยอยกย่องตนผ่องผล
ยกตนเหนือหัวหล้าประชาชน
แล้วเวียนวนวิ่งหาตัณหามัว

จนนานวันลืมว่าค่าอำนาจ
เป็นสิทธิขาดของชนทุกคนทั่ว
ยึดเอาว่าข้าดีมีคนกลัว
จึงลืมตัวแต่งตั้งตนนั่งครอง

ทำระบบกลบภาพฉาบทาสี
ยกตนดีเหนือค่าประชาพร่อง
ยึดอำนาจวาดเมืองเป็นเครื่องครอง
พอประชาชนร้องจ้องทำลาย

ลืมว่ามือตีนหัวตัวเหมือนเขา
ลืมว่าจนรวยเราล้วนดับหาย
ลืมว่าทรัพย์นับล้านวารสุดวาย
ล้วนมลายจากอกเคยพกเอา

ตอนคนโง่โซซานไม่อ่านเขียน
กลจึงเวียนว่ายใช้ได้ผลเหมา
ภาพบัดนี้ที่เปลี่ยนคนเรียนเงา
เห็นตัวเข้าจึงขับเพลงจับกล

เจ้าทั้งหลายชายหญิงหลงหยิ่งศักดิ์
จงตระหนักใจแน่รีบแปลผล
จงรู้ว่าค่าคนเท่าทุกคน
ประชาชนชูให้จึงใหญ่แท้

หากจะคิดการใหญ่หวังได้ผล
ประชาชนคือทางช่วยถางแก้
หากทำเพื่อผองเขาใจเจ้าแล
ย่อมของแน่ชนเนื่องช่วยเปลื้องงาน

หากเจ้าอ้างทางเพื่อตนเถือแดก
จงอย่าแปลกใจปนเมื่อชนพล่าน
จงอย่าหวังดังเก่าแกล้งเมาพาล
แล้วระรานงานทั่วแก้ตัวเมา

เจ้าทำกรรมยำยีวิถีถูก
ดังเจ้าปลูกต้นเปรตในเขตเจ้า
มันจักหลอกปลอกลิ้นปลิ้นตาเอา
ตามเป็นเงาคอยกินเจ้าสิ้นร้าง

อ้างศีลธรรมนำทางวางแผนปล้น
ทางเดียวพ้นกรรมปั้นพันหัวหาง
คือเอาศีลปีนเกลียวเหลียวมองทาง
เอาธรรมวางเป็นแนวค่อยแจวคืน

เอาสิทธิประชาขาเจ้าควบ
เคยกินรวบรัดเมืองเปลื้องข่มขืน
มีทางเดียวเกลียวกลับเจ้าจับคืน
จึงจักยืนยังหัวบนตัวตาย

อันดอกฟ้าหญ้าไพรใดล้วนพึ่ง
รากหญ้าตรึงจึงช่อพอเชิดได้
หากเจ้าลืมรากหมายหวังย้ายไกล
เจ้าจักอยู่อย่างไร...ไม่ตายล้ม?

Saturday, May 29, 2010

นายกอำมหิต อภิสิทธิ์ร้อยศพ

Thai E-News: บทความ: นายกอำมหิต อภิสิทธิ์ร้อยศพ

บทความ: นายกอำมหิต อภิสิทธิ์ร้อยศพ
โดย เทิดไท ประชาธรรม
23 พฤษภาคม 2553

นับจากเหตุการณ์ "ขอพื้นที่คืน" ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เรื่อยมาถึงเหตุการณ์ "กระชับพื้นที่" ที่ราชประสงค์ ระหว่างวันที่ 13 – 19 พฤษภาคม 2553 ด้วยคำพูดที่สวยหรูจาก ศอฉ.และรัฐบาล แต่ความหมายมันก็คือ "การเข้าสลาย และปราบปราม" นั้นเอง

เป็นเหตุให้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทั้งชาย หญิง เด็ก คนชรา แม้แต่สตรีมีครรภ์ ตลอดถึงนายพลของกองทัพ คนเก็บขยะ เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือคนเจ็บ และเจ้าหน้าที่พยาบาลอาสา ได้สังเวยความ "อำมหิต" ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กว่าหนึ่งร้อยศพ (ตัวเลขทางการคือ 88 ศพ) และมีผู้บาดเจ็บอีกเกือบสองพันคน

นี่ยังไม่นับรวมกับศพที่สูญหายจำนวนมาก โดยมีข่าวลือว่า ถูกนำไปฝังรวมกันที่ค่ายทหารราบแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และยังไม่นับรวมถึงกับศพที่มีข่าวลือจากข้อสงสัยของผู้คนว่า "มีอีกหลายร้อยชีวิตที่เป็นสตรี และคนชรา" ณ เวทีราชประสงค์ ที่ไม่ยอมสลาย และคอยจนนาทีสุดท้ายให้ทหารเข้ามาถึง จนถูกทหารกราดยิง เพราะไม่มีสื่อมวลชนเข้าไปด้วยแม้แต่คนเดียว และถูกนำศพไปเผารวมกัน ณ เซ็นทรัลเวิลด์ "เมรุเผาศพที่ใหญ่ที่สุดในโลก" แล้วปล่อยให้ไฟเผานานกว่า 12 ชม. โดยเจ้าหน้าที่ไม่สนใจที่จะดับเพลิง แต่อย่างใด !!!???

"หนึ่งร้อยศพ" ไม่น่าจะน้อยกว่านี้ คือผลงานและวิธีแก้ปัญหา "แบบเลือดทาแผ่นดิน" ของอภิสิทธิ์

"แผนปรองดอง" หรือ โรดแม็ป 5 ข้อ ของอภิสิทธิ์ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ มีหลายคนรวมทั้งผู้เขียน เคยวิพากษ์วิจารณ์ว่า "เป็นแค่แผนหลอกล่อให้คนเสื้อแดงกลับบ้าน หรือหลอกให้คนที่เวทีราชประสงค์ลดน้อยลง เพื่อจะได้ง่ายต่อการเข้าสลายและล้อมปราบ ไม่ได้มีความจริงใจที่จะปรองดองอะไรเลย"

และแล้วคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นก็เป็นจริง เห็นชัด ๆ ว่า ในหัวสมองของอภิสิทธิ์นั้น ไม่มีคำว่า "ปรองดอง" แต่อย่างใด สิ่งเดียวที่มีในหัวสมองของอภิสิทธิ์คือ "ต้องเอาเลือดไพร่ทาบนแผ่นดินให้จงได้" ตามคำบัญชาของมหาอำมาตย์อำมหิต "ตายสิบตายแสน ไม่ต้องใส่ใจ" คนไทยหกสิบกว่าล้านคน ตายแค่นี่ถือว่าน้อยไป และเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูว่า "ต่อไปพวกไพร่อย่าริฮือ"

ท่านผู้อ่านที่เคารพ "สัญญาณอำมหิต" เพื่อปลิดชีวิตไพร่กว่าร้อยศพ ได้ถูกส่งสัญญาณแล้วตั้งแต่มีข่าวว่า "ผู้หญิงคนหนึ่ง" โทรหา "อนุพงษ์" ว่า "ให้จัดการปราบไพร่ได้เลยไม่ต้องปรานีปราศรัย"

สัญญาณต่อมา คือ เมื่อพวกพันธมิตร โดยมหาจอมปลอม และกลุ่มเสื้อหลากสีของหมอไร้จรรยาบรรณ และเหล่าลูกสมุนอำมาตย์ ออกมาประสานเสียง ให้รัฐบาลจัดการกับคนเสื้อแดงโดยเด็ดขาด ถ้าไม่จัดการแล้วพวกพันธมารจะจัดการเอง

ต่อมาก็มี เอ็ม.79 มี "สไนเปอร์" ออกมาเก็บ "คนเสื้อแดง" ทีละศพ ๆ จนมาถึงคิวของ "เสธ.แดง" พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แหล่ะนี่คือ "ซิกสุดท้าย" ที่เป็นสัญญาณว่า "ร้อยศพ" นั้น น้อยมาก ที่คนกระหายเลือดอย่างอภิสิทธิ์ ทาสรับใช้อำมาตยา จะทำการเข่นฆ่า

แกนนำ นปช.ชะล่าใจ หรือแม้แต่ใคร ๆ ก็คิดไม่ถึงว่า พวกมหาอำมาตยาสามานย์ จะมีใจที่ "อำมหิต" สั่งเข่นฆ่าประชาชนของตนเองได้ถึงเพียงนี้ ร้อยศพ ที่ตัวเลขเป็นทางการ และอีกหลายร้อยศพที่สาบสูญ ไม่มีใครทราบว่าอยู่ที่ไหน จึงได้เกิดขึ้น ณ ใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย

แม้จะเป็นร้อยศพ ที่แลกกับคำว่าประชาธิปไตยอันว่างเปล่า แต่ก็เป็นร้อยศพที่ได้เผยธาตุแท้ของ "ระบอบอำมาตยาธิปไตย" ได้อย่างหมดใส้หมดพุง

นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์อย่าง รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ถึงกับกล่าวว่า "ในฐานะของนักรัฐศาสตร์ ผมบอกตรง ๆ ว่า ผมยังงงกับรัฐบาล และตัวนายกรัฐมนตรี ว่า ทำไมถึงได้มั่นใจว่าความรุนแรงจะเป็นทางยุติปัญหาทั้งหมดได้..."

ปานนี้เมื่อรู้ว่า นายกได้สั่งฆ่าประชาชนไปแล้วกว่าร้อยศพ ไม่ทราบว่า รศ.ดร.สุขุม จะหายงงหรือยัง หรือว่าจะยิ่งงง หรือจะแกล้งทำเป็นงงต่อไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มหัวอกว่า "ที่นายอภิสิทธิ์โหดได้แบบสุด ๆ นั้น เพราะใครบัญชาการอยู่เบื้องหลัง"

ความอำมหิต ของอภิสิทธิ์ผู้นำรัฐบาลนอมิอำมาตยาสามานย์ กับ "ยุทธการฆ่าไม่เลือกหน้า" ถูกนำมาใช้กับทุกคนที่เดินอยู่ในพื้นที่ชุมนุม ทั้งนี้เพราะมีมหาอำมาตย์สามานย์บัญชาการอยู่เบื้องหลัง จน "อนุพงษ์" ต้องสงบเสงียมเจียมตัว และหยุดคำพูดของตัวเองที่ว่า "การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง" ลงในทันที

"สงคราม" ที่รัฐใช้อาวุธร้าย "เอ็ม. 16 เอ็ม. 79 และสไนเปอร์" ณ "สมรภูมิราชประสงค์" ได้ยุติลง ด้วยชัยชนะของ "อภิสิทธิ์ และอำมาตย์" พร้อมกับการจากไปด้วยความ "พ่ายแพ้และ ความตายของชาวไพร่" ผู้มีอาวุธร้าย คือ "บั้งไฟ หนังสติ๊ก และไม้ไผ่"

สงครามระยะสั้นได้จบลงแล้ว

อภิสิทธิ์ และอำมาตย์ ชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ณ สมรภูมิที่ราชประสงค์ เหล่าลูกสมุนต่างสะใจ ไชโย โฮ่ร้อง ทั้งเหลือง เขียว น้ำเงิน ชมพู ฟ้า กับ ความพ่ายแพ้ของนักรบเสื้อแดง ที่เป็น "หญิงแก่ ๆ" และ "ชายชรา" หน้าตาชนบท ๆ อายุแต่ละคนกว่าเจ็ดสิบปี ที่ต้องเดินร้องไห้ออกจากสมรภูมิรบ "ที่อาวุธไม่เท่าเทียม" ด้วยความ "เจ็บแค้น และคราบน้ำตา"

สงครามระยะยาวยังไม่จบ !!!

"บั้งไฟ หนังสติ๊ก ไม้ไผ่" สู้กับอาวุธร้าย "สไนเปอร์ รถถัง เอ็ม.16 และ เอ็ม.79" ความตาย น้ำตา ความแค้น "ขอนแก่น อุดร อุบล โมเดล" เชียงใหม่ เชียงราย กระจ่ายไปทั่ว ทั้งกรุงทเพฯ และปริมณฑล

แม้ว่าแดงจะเผา หรือเหลืองจะใส่ร้าย หรือว่าน้ำเงินจะผสมโรงป้ายสี อะไรก็ตามเถอะ นั้นแสดงว่า "สงครามยังไม่จบ"

"ขอนแก่น อุดร อุบล โมเดล" ผู้ก่อเหตุถูกยิงถูกจับ "ตายและบาดเจ็บหลายสิบ" ถูกจับเกือบร้อย ยังพอยุติการความวุ่นวายลงได้ในเร็ววัน แต่ถ้าเป็น "สามจังหวัดชายแดนภาคใต้โมเดล" คงไม่ต้องอธิบายว่า "วิธีการคืออย่างไร" มาเกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน แล้วประเทศไทยจะอยู่กันอย่างไร ?

"ประเทศไทยโชคดีที่มีอภิสิทธิ์เป็นนายก"

ขออวยพรให้โชคดีไปตลอดเถอะนะมหาอำมาตย์ และขอให้อภิสิทธิ์ของพวกคุณ ได้เป็นนายกของประเทศไทยตลอดไปชั่วกัปป์ชั่วกัลป์

นายแน่มากอภิสิทธิ์!!! @

หมายเหตุ ปกติบทความนี้จะถูกตีพิมพ์ใน คอลัมม์ "สถานีไพร่" ทางนสพ.ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 51 ประจำวันศุกร์ที่ 28 พ.ค.-3 มิ.ย.53 แต่ปรากฎตามที่เป็นข่าวแล้วว่า ไทยเรดนิวส์ ได้ถูก ศอฉ.สั่งปิดแล้ว เจ้าของบทความ (คุณเทิดไท ประชาธรรม) จึงได้ฝากมาให้กับทางกลุ่ม ได้ช่วยกระจ่ายให้กับแฟน ๆ ได้อ่านทั่วกัน ด้วยครับ

Friday, May 28, 2010

หนังสือพิมพ์ข่าวสดออนไลน์ : ครบทุกรส สดทุกเรื่อง

หนังสือพิมพ์ข่าวสดออนไลน์ : ครบทุกรส สดทุกเรื่อง

หลักฐานมีเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ก็ยังมีคนไทยจำนวนหนึ่งที่ใจมืดบอดด้วยความเกลียดทักษิณอย่างรุนแรง
ที่มืดบอดทางเหตุผล เพราะความเกลียดนั้น และความรุนแรงในทีท่า ความคิด คำพูด
และการกระทำ เพราะความเกลียดดังกล่าวที่ลามพ้นเขตของศีลธรรมอันดี จนเห็น
การฆ่าฟันผู้บริสุทธิ์เป็นเรื่องชอบธรรม และรวมหัวกันสร้างภาพ สร้างกระแสจนเกินตัว
อาศัยสื่อปั่นหัวทุกวัน คนโง่ที่คิดว่าตนเองฉลาดและเหนือกว่าคนอื่นพวกนี้
จึงหลงคิดว่าตนเองเป็นคนส่วนใหญ่ ในขณะที่รัฐบาลที่ตนเองชอบนักชอบหนานั้น
กลัวการเลือกตั้งและเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน จนไม่กล้ายุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน
และกลัวมากจนเลือกทำบาปฆ่าประชาชนแบบเลือดเย็น ตามคำสั่งของคนมีบุญ

เมืองไทยเราที่เป็นอย่างนี้ เพราะคนจำนวนน้อยที่มีความโลภ โกรธและหลงมาก
ฉกฉวยโอกาสในการปล้นอำนาจทางการเงิน สื่อ ศาล กฎหมายและการเมือง เข้าไปครอบครอง
โดยการเปิดทางให้ของคนมีบุญ และพวกนี้แหละ ที่ฉุดรั้งประเทศไทยให้ตกต่ำ

คอยดูเถิด วันหนึ่งหากเสื้อแดงเอาชนะระบอบราชาธิปไตยไม่ได้
และโดนรุมย่ำยี่เหมือนที่เป็นอยู่นี้ โดยถูกกดขี่ชนิดเอาคืนไม่ได้ยืดเยื้อ
พวกเขาจะหันมาทุ่มความเกลียดชังใส่ผู้ดีตีนแดง หรือชนชั้นกลางสันดานทาสทั้งหลาย
และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบความรุนแรงย้อนกลับ อาจจะเกิดขึ้น
และคนที่จะถูกฆ่า ถูกหมายหัวและเกลียดชัง ก็คือคนที่กำลังทำสิ่งนี้กับคนเสื้อแดงอยู่นั่นเอง

ผมไม่ปรารถนาจะเห็นสิ่งนี้ แต่ทั้งหมดนี้ เป็นกรรมของประเทศ... ได้แต่ภาวนา
ขอให้คนบาปกลับใจให้ทันการณ์ครับ

Tuesday, May 25, 2010

ผู้ทรงอำนาจในเมืองไทยทั้งหลาย... ฟังเสียงประชาโลกเสียบ้าง จะได้เลิกตอแหลกันทั้งยวง ไม่เว้นวัน



พวกมึงที่ฟังภาษาอังกฤษออก ฟังแล้วคิดเสียให้ดี
ไม่ใช่หลงคิดว่าปิดสื่อเมืองไทยแล้ว จะตอแหลสร้างสถานการณ์ได้ดังใจ
นี่มันศตวรรษที่ 21 โลกมันไม่ใช่ยุคห้าสิบปีที่แล้ว...

ฟังให้ชัด แล้วกัดลิ้นตัวเองตายซะ...

Monday, May 24, 2010

อาชญากรรมที่น่าสนใจ: นายสมาพันธ์ ศรีเทพ อายุ 17 ปี

อาชญากรรมที่น่าสนใจ: นายสมาพันธ์ ศรีเทพ อายุ 17 ปี

มอบให้เพื่อนคนไทยที่คิดแต่ว่า คนที่ตายคือผู้ก่อการร้าย คนไร้การศึกษา เครื่องมือที่ทักษิณจ้างมา หรือพวกล้มเจ้า
ขอให้อ่านให้จบเถิดครับ แล้วถามหัวใจส่วนที่เป็นธรรมของท่าน ว่าท่านตัดสินขบวนการคนเสื้อแดงถูกต้องแล้วหรือ?

Saturday, May 22, 2010

บันทึกไว้ในแผ่นดินรัตนโกสินทร์ตอนปลาย

วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23:58:00 น. มติชนออนไลน์
คลิ๊กรับชมวีดีโอข่าวนี้ =>

"เสื้อแดง"ขอพูดบ้างจะเอาไป "ฆ่า-ประหาร"ก็เชิญ

โดย ชฎา ไอยคุปต์
คลิกชมคลิปวิดีโอภาพและเสียงชาวบ้านได้ที่รูปกล้องเหนือพาดหัวข่าว)

ภายหลังแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงประกาศให้ผู้ชุมนุมกลับบ้านและยุติการชุมนุมแทนที่เดินทางกลับบ้าน ชาวบ้านกลับวิ่งหนีตายเข้าไปขอซุกตัวภายในวัดปทุมวนารามเป็นเขตอภัยทาน กับโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อหลบซ่อนตัวไม่ยอมออกมาจากพื้นที่วัดตั้งแต่ตลอดเวลาช่วงบ่ายจนถึงเช้าของวันใหม่


ทั้งที่รัฐบาลประกาศเตรียมจัดรถคอยอำนวยความสะดวกให้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัยแต่ก็ไม่มีใครยอมออกมาและเวลานั้นก็ไม่มีมีใครรู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นภายในพื้นที่การชุมนุม หลังจากที่มีการประกาศเคอร์ฟิวผู้สื่อข่าวถอนออกจากพื้นที่ ขณะที่ผู้ชุมุนุมเดินออกจากพื้นที่ชุมนุมกลับภูมิลำเนาแค่ประมาณ 400 คนเท่านั้น แล้วอีกหลายพันคนหายเงียบ เข้าไปซุกตัวอยู่ในวัด


ตลอดคืนที่แสนจะยาวนานในความรู้สึกของชาวบ้านท่ามกลางความไม่สงบแสงเพลิงที่ลุกไหม้ตึกอาคารรอบพื้นที่ มีเสียงปืนเสียงระเบิดดังตลอดทั้งคืนแต่ที่เลวยิ่งกว่า คือ การนอนร่วมกับศพเพื่อนร่วมรบ นี่คือคำบอกเล่าของกลุ่มผู้ชุมนุมที่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ยังผวาไม่เลิก"


แทบจะไม่มีใครได้หลับได้นอนกระทั่งรุ่งสาง แสงอาทิตย์ส่องสว่างมองเห็นสิ่งรอบข้างได้ชัดเจน ชาวบ้านเริ่มทยอยเดินทางออกมาตามเสียงเรียกของมือปราบหูดำ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ใช้เครื่องขยายเสียงเรียกผู้ชุมนุมออกมาเพื่อเดินทางกลับบ้าน แต่ชาวบ้านยังคงมีอาการหวาดผวา เมื่อเดินออกมาเจอเจ้าหน้าที่ทหารยืนลาดตระเวนบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส หดกลับเข้าไปใหม่และไม่ยอมออกมา จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตั้งแถวเป็นทางยาวเพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะไม่มีใครมาทำร้ายได้ โดยที่ตำรวจจะยืนเป็นเกราะกำบังให้ ชาวบ้านจึงยอมเดินทางออกมาจากวัดเพื่อเดินทางกลับบ้าน


ใบหน้าที่มันเยิ้มเปื้อนฝ้า สีผิวที่กรำแดดปรากฏริ้วรอยความหมองคล้ำ เคลือบไปด้วยความอิดโรย ตาแดงกร่ำ เสื้อผ้าที่เปื้อนฝุ่น กลิ่นตัวที่หมักหมมขาดน้ำชำระล้างมานาน แต่ยังไม่เด็ดชัด สัมผัสได้เท่ากับ ความเครียด ความกังวล ที่แสดงออกมาทาง สีหน้า แววตา ไร้อารมณ์ความรู้สึก เหม่อลอย และหวาดกลัว แต่ซ่อนความมุ่งมั่นในแววตา


ชาวบ้านทยอยเดินทางลงจากรถเมล์มาต่อรถโดยสารที่สถานีขนส่งหมอชิต หอบหิ้วเสื่อ หมอน พัดลม ข้าวของเครื่องใช้พะรุงพะรัง ขณะที่บางคนมีแค่เสื้อผ้าชุดเดียวห่อหุ้มร่างกายไว้เท่านั้น นี่คือ ภาพของผู้ชมุนุมคนไทยที่ดูไม่ต่างจากพวกอพยพลี้ภัยจากสมรภูมิรบในชายแดน เข้าแถวลงทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทยก่อนจะแวะไปรับเงินจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายละ 200 บาท เป็นการเยียวยาค่าเดินทางต่อรถกลับภูมิลำเนาหลังจากมีรถฟรีไปส่งถึงตัวจังหวัด ส่วนใหญ่เข้าไปรับเงินแต่บางคนก็ไม่ยอมรับและบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าคนเสื้อแดงไม่รับเงิน ส่วนบางคนก็ประชดด้วยการบอกว่ามาร่วม 2 เดือนได้เงินกลับบ้าน 200 บาท


พูดแล้วจะเอาออกจริงหรือ ? คำตอบที่ชาวบ้านถามกลับกับคนที่หิ้วกล้องพร้อมปากกาและกระดาษมาขอสัมภาษณ์ แต่สุดท้าย นางชวนพร ชัยมงคล อายุ 55 ปี จ.เชียงใหม่ ก็ยอมเล่าถึงนาทีหนีตายเข้าไปอาศัยในวัดปทุมวนาราม ท่ามกลางวงล้อมของหมอกควันและเพลิงและกระสุนปืนที่ดังอย่างต่อเนื่องพร้อมกับผู้ชุมนุมหลายพันคนและอีก 6 ศพถูกยิงเสียชีวิตห่อด้วยเสื่อเรียงอยู่ในวัด ว่า จะออกมาก็ออกไม่ได้เพราะว่าหลายคนที่ออกมาเพราะห่วงข้าวของเครื่องใช้ก็ถูกยิง มันไม่เหมือนประเทศไทย ที่มีการเอื้อเฟื้อกัน ทุกคนเสียใจมากไม่น่าจะเป็นแบบนี้ เราเรียกร้องแค่ให้ยุบสภาเท่านั้นเองทำไมต้องมายิงเราด้วย (พร้อมกับสะอื้น) ทุกวันนี้ไม่มีความยุติธรรมสำหรับคนจนเลย คนจนไม่มีค่า ไม่มีราคา คนจนอย่างเราไม่ได้ขออะไรมากมาย ขอให้มันถูกต้อง อะไรที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้มันจะสงบ จึงขอให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตลอด จะเป็นใครก็ได้ที่มาจากการเลือกตั้งอย่างยุติธรรม


"ทุกคนกลับบ้านด้วยความเจ็บใจเพราะว่าญาติพี่น้องร่วมรบถูกยิง ถูกลากศพไปต่อหน้าต่อตา ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมาเจอแบบนี้ อยากให้บ้านเมืองได้ความยุติธรรมคืนมา มีความถูกต้อง มีกฎหมายเท่าเทียมกัน ไม่ใช่แบ่งพรรคแบ่งพวก คนรวย คนจน มีค่าเท่าเทียมกัน ต้องให้สิทธิการเป็นมนุษย์เหมือนกัน เป็นมนุษย์ขี้เหม็นเหมือนกัน แต่ถ้าขี้หอมก็ยกให้อีกระดับหนึ่ง ฉะนั้นต้องคิดว่าคุณคือมนุษย์เหมือนกัน


เราไม่ได้กลับบ้านมือเปล่าทุกคนรู้ที่แกนนำต้องเลิกเพื่อรักษาชีวิตผู้ชุมนุมไว้ วันนี้เราได้เพื่อนที่ไม่เข้าใจเราได้เข้าใจเรามากขึ้น แต่ที่ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจเพราะฟังข่าวด้านเดียว เห็นแต่เสื้อแดงไปทำทหาร แต่ทหารทำร้ายคนเสื้อแดงไม่มีออกทีวีเลย ไม่ว่าอะไรหรอกคนที่เป็นนายกฯขอแค่คืนความยุติธรรมให้กับสังคมเท่านั้น หากยังแบ่งแยกกันอยู่อย่างนี้มันจะแตกแยกกัน" นางชวนพรกล่าว


สาวใหญ่เมืองเชียงใหม่ยังบอกอีกว่า ขณะที่พวกเราหนีเขาวัดแล้วไปนั่งไหว้พระอยู่คิดว่าถ้าจะมายิงกันตอนไหว้พระก็ไม่เป็นไร ที่ตรงนั้นมีแต่เด็ก ผู้หญิง เต็มไปหมด


"ถ้าต่อสู้ซึ่งหน้าเราต้านไหว แต่เขาเอาเปรียบเรา ไปซุ่มยิงจากข้างบน แบบนี้มันหมารอบกัด ต้องลงมาแล้วสู้กันซึ่งหน้าตัวต่อตัวเราจับมัดจับมัดดีดหำได้สบาย แต่เราไม่ฆ่าเพราะคนไทยด้วยกัน แต่เขามาตั้งใจฆ่าเรา ถ้าใครที่รับฟังมาจากที่ไหนก็ให้รู้ว่าเราคนไทยด้วยกัน ไม่ใช่ว่าเสื้อแดงต้องไปฆ่าเขา แค่จับเปลื้องผ้าก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว แต่นี้มาฆ่าเราต้องนึกบ้าง ทำได้อย่างไรกับคนไม่มีทางสู้


คำว่าผู้ก่อการร้าย รัฐบาลคิดได้ไง ชาวบ้านดีดี แม่ค้าขายกล้วยทอดเป็นผู้ก่อการร้ายได้ไง เราต้องการความยุติธรรมคืนไม่น่าจะเป็นแบบนี้แค่ยุบสภาเขาก็ทำกันทั้งโลก หากคิดว่าหาเสียงเก่งก็หาวิธีการไปสิ ไม่เห็นต้องมาฆ่าเราเลย" สาวใหญ่เสื้อแดงคนเดิมระบุ


นางชวนพรเล่าต่อว่า ภายในวัดแทบจะไม่มีที่ให้เดินเพราะมีคนเข้าไปหลับนอนกันเรียงเป็นแถว ลูกก็เป็นห่วงโทรบอกให้ออกมาจากวัดซึ่งเขาไม่รู้ว่าเราออกไปไม่ได้ ถ้าออกมาตายแน่ ขนาดตอนเช้าที่ออกมาตำรวจต้องตั้งแถวเรียงกันเป็นแผงช่วยให้เราออกจากวัด เพราะข้างบนรางรถไฟยังมีทหารอีกเพียบ พร้อมกับชูภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอลให้ดูรูปเจ้าหน้าที่ทหารยืนประจำการบนรางรถไฟ


"วันนี้ไม่มีความยุติธรรมกับเราคนจนเลย คนจนอย่างเราใช่ว่าจะมาขออะไรมากมายขอแค่ให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ คุณได้เป็นนายกฯไปเราไม่ว่าให้มันถูกต้องอะไรที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้มันจะสงบ ทุกคนกลับบ้านด้วยความเจ็บใจ เพราะว่าญาติพี่น้องที่ร่วมรบกันเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา ช่วยเหลืออะไรกันไม่ได้เลย การกลับบ้านครั้งนี้ถือว่าเสร็จแล้ว เรามาแสดงอุดมการณ์ของเราที่ไม่ชอบความไม่ยุติธรรมไม่ใช่ว่าเข้าข้างกัน ผิดก็คือผิด" นางชวนพร กล่าว


นายอนุชา ยะอนันต์ อายุ 45 ปี นปช.ลำพูน ชายร่างใหญ่หนวดเฟิ้มเล่านาทีชีวิตเป็นตายเท่ากันขณะที่เข้าไปหลบซ่อนในวัดปทุมวนาราม ว่า "อยู่ในวัดไล่ยิงคนเหมือนหมา ออกไปนอกวัดก็ไม่ได้ มีทหารอยู่บนรางรถไฟเห็นๆกันอยู่ จะไม่เห็นได้ไงไล่ยิงกันรอบวัดเลย ลึกๆในใจใครทำอะไรก็รับไปให้รู้กันเองไม่เป็นไร"


นปช.ลำพูนกล่าวอีกว่า มองดูรัฐบาลตอนนี้ไม่เหมือนกับรัฐบาลทั่วโลก ขนาดเขาทำผิดนิดเดียวก็เริ่มรู้ตัวต้องออกไปแล้ว แต่ตอนนี้ประเทศเราไม่ใช่ประชาธิปไตย รัฐบาลถูกต่อต้านไปไหนไม่ได้ต้องมีทหารคอยคุ้มครองไปกันแต่ละครั้งขนตำรวจทหารไปล้อม 3-4 พันคน เข้าใจว่าความเกลียดชังคนเสื้อแดง ที่เกิดในใจหลายคน คิดว่าเกิดจากข้อมูลที่เขารับฟังข้างเดียว เราไม่ได้มองว่าเขาเป็นศัตรู แต่ถ้าวันหนึ่งเขาได้รับรู้ว่าความจริง คืออะไร เขาจะเสียใจมากยิ่งกว่าพวกเราเสียใจอีก รัฐบาลควรแสดงความจริงใจว่าส่วนใดที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริงต้องเอามาพูดกัน


"ความจริงของเรื่องนี้ คือ รัฐบาลเอาทหารออกมาแล้วปิดกั้นไม่ให้พวกที่เข้าไปชุมนุมได้ชุมนุมกันอย่างสันติวิธี พวกเราไม่มีอาวุธมีแต่ไม้เหลาแหลมแต่ทหารอาวุธครบมือ วันหนึ่งถ้าเป็นญาติของเขาบ้างจะรู้สึกอย่างไร รัฐบาลไม่น่าทำขนาดนี้ ผมอายชาวโลก ชาวโลกรับรู้ข่าวหมด แต่ช่องทีวีของไทยยังปิดหูปิดตา มีข่าวทางอินเตอร์เน็ตที่รายงานข่าวเราบ้าง ประเทศไทยยังมัวแต่ปิดกั้นอยู่อย่างนี้เราไปไม่รอดแน่"นายอนุชากล่าวทิ้งท้ายก่อนเดินไปขึ้นรถกลับลำพูน


ขณะที่นายนางชฎาทาน ธันวาภักดี ชาวจ.นนทบุรี อายุ 55 ปี อาชีพค้าขาย กำลังหอบหิ้วสัมภาระที่ขนกลับมาจากราชประสงค์เพื่อเดินทางกลับบ้าน กล่าวว่า เมื่อก่อนเคยสนับสนุนการปฏิวัติว่ามันดีแต่พอเห็นการยึดทำเนียบจึงได้รู้ว่ามันไม่ดีแล้ว เมื่อก่อนเราเหมือนกบในกะลาเมื่อมีคนมาเตะกะลาให้เราต้องออกมาเราต้องวิ่งออกมาจนได้เห็นความไม่ยุติธรรม ฉะนั้นเรายอมตายเพื่อความถูกต้องดังนั้นเราต้องช่วยกัน


"เขาใจร้ายมาก ฆ่าเราเหมือนหมูเหมือนหมา เหมือนเราไม่ใช่คน ยิงลงมาจากรางรถไฟฟ้ามีคนตาย 6 ศพ นอนอยู่ในวัดยังไม่ได้ฉีดยาให้ศพ น่า อนาถใจมาก ไม่คิดเลยว่าจะยิงเรา นัดเดียวคาที่หมด เห็นคนเชียงรายมากัน 8 ตาย 5 กระสุนเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา" นางชฎาทานบอกเล่าสิ่งที่ได้พบเจอ


นปช.นนทบุรี กล่าวต่อว่า "ตอนนี้เราต้องหยุดก่อนแต่เราไม่ถอย เราไม่ได้ทำอะไรเขาเลยเขามายิงเราทำไมเราแค่มาเรียกร้องประชาธิปไตยขอความเป็นธรรมมายิงเราทำไม พอใจยิงก็ยิง ก่อนหน้านี้เราไม่เคยแตะต้องอะไรเลย แต่ตอนนั้นระเบิดลงหน้าเวทีคุณฆ่าเราแล้ว พวกเราก็ระงับอารมณ์ทุกคนไม่ได้แล้ว พวกเราก็พากันหนีตายเข้าไปในวัดบ้าง หลบอยู่ใต้รางรถไฟฟ้าบ้าง เขาก็ยิงลงมาอย่างต่อเนื่องเก็บข้าวของกันแทบไม่ทัน เขายืนอยู่บนหัวเรา ตอนนั้นประมาณ 6 โมงเย็น พอเราออกมาตอนเช้ายังเห็นทหารยืนอยู่เต็มรางรถไฟฟ้า"


"สิ่งที่พวกเราเจอยิ่งกว่าสงคราม เกิดมาไม่เคยเจอ ไม่คิดว่าประเทศเราจะเป็นขนาดนี้ ใจร้ายมากเขาเหยียบย่ำหัวใจเรามาก รอดตายมาทุกวันนี้เพราะตำรวจแท้ๆ และขอย้ำบอกกับพวกที่หาว่าเรามาแล้วได้เงินไม่จริงเลย มีแต่เสียเงินเองทุกบาททุกสตางค์ ไม่มีใครเอามาให้เลย เราสู้กันตั้งแต่พันธมิตรยึดทำเนียบจนกระทั่งวันนี้ที่พวกเราถูกไล่ยิง" นางชฎาทานกล่าว



ทางด้านนายชัยวัฒน์ แสงเดช เจริญชัย อายุ 47 ปี ชาว จ.อุดรธานี ที่กำลังรอขึ้นรถกลับภูมิลำเนาหลังจากที่ลาสิกขาบทเพื่อมาร่วมชุมนุมบอกว่า ตอนนั้นได้ดูข่าวเห็นแล้วทนไม่ไหวจึงสึกออกมาเพราะเห็นความไม่ถูกต้อง ขอเงินพี่ชาย 4 พันบาท เข้ากรุงเทพฯตั้งแต่หัวโล้นจนตอนนี้ผมขึ้นขนาดนี้แล้ว(ชี้ไปที่ผม) มาร่วมชุมนุมเกือบ 2 เดือนเงินที่นำมาก็หมดแล้ว แต่ข้างในคนเสื้อแดงรักกันมากแบ่งบันกันกิน พวกเขาไม่มีอาวุธมีแต่หนังสติ๊ก ไม้ไผ่ กับบั้งไฟที่จุดไล่เฮลิคอปเตอร์ ส่วนพวกผู้หญิงน่าสงสารมากช่วงที่ทหารบุกยิงทั้งแก๊สน้ำตา ยิงปืนใส่


"พวกผู้หญิงที่อยู่ในพื้นที่ทนเห็นคนถูกยิงไม่ได้ไปช่วยกันเอาน้ำยาล้างส้วมเทใส่ถุงแล้วเอาไปเฟวี้ยง(ขว้าง)ทหารเห็นแล้วน้ำตาไหล ถ้าใครเข้าไปสัมผัสข้างไหนแล้วจะรู้ เมื่อกี้เดินออกมาตามถนนหนทางชาวบ้านร้องห่มร้องไห้มาตลอดทาง ตำรวจดีมากเลยที่เข้าไปช่วยพวกเราไม่งั้นทหารไม่ปล่อยออกมาแน่ ถ้าออกมาโดนยิงหมด" นายชัยวัฒน์ กล่าวย้ำสิ่งที่ผู้ชุมนุมคนอื่นบอกไว้ในเรื่องเดียวกัน


"ตอนทหารยิงผมอยู่ตรงศาลาแดง วิ่งหลบกระสุนทั้งวัน ทั้งคืน ทหารใช้ปืนสไนเปอร์ยิง โดนหัว โดนลำตัว ต่างคนต่างวิ่ง หมอบไปด้วยวิ่งไปเลาะตามเต็นท์ วิ่งโล่งๆไม่ได้ ตอนนั้นผมวิ่งไม่ถึงวัด จึงเข้าไปหลบในโรงพยาบาลตำรวจแทน พวกเรานอนเกลื่อนกับพื้นเต็มไปหมด ออกไปไหนก็ไม่ได้ คนในวัดก็ออกไม่ได้ ออกมาก็ถูกยิง ตรงศาลาแดง ดุเดือดมาก ไปซุ่มอยู่บนตึกยิงลงมา " นายชัยวัฒน์กล่าวถึงนาทีหนีตาย


นายชัยวัฒน์ เล่าถึงการเดินทางมาร่วมชุมนุมว่า มาคนเดียวได้แต่ดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ เห็นแล้วน้ำตาไหลออกมาเองแบบไม่รู้สึกตัว พวกมวลชนไม่รู้เรื่องรู้ราว ทำไมต้องยิงเขาด้วย ผู้หญิง เด็ก ยิงหมด หากออกไปจากที่ชุมนุมเจอด่านทหารจะตรวจค้นมีอะไรแดงๆจะโดนหมดเลย เถื่อนมากเหมือนไม่ใช่ประเทศไทย มันจะไม่ใช่สยามเมืองยิ้มอีกต่อไปแล้ว


"คนเฒ่าคนแก่บางคนบอกว่า ตั้งแต่เกิดมาจนแก่ไม่เคยเห็นรัฐบาลไหนจะโหดขนาดนี้แม้แต่ตัวผมเอง" เสียงสะท้อนจากผู้ชุมนุมที่ตกใจกับเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะได้พบเจอ


นางคำสอน สมพงษ์ อายุ 57 ปี ชาวจ.หนองคาย นั่งรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อน 3 คน รอเดินทางกลับบ้านที่สถานีขนส่งหมอชิต บอกเล่าเหตุการณ์ในวันที่ราชประสงค์มืดมิดพร้อมกับท่าทางที่ตื่นกลัว ว่า ลูกระเบิดลงมา พากันวิ่งเข้าวัดปทุมวนาราม เจ้าอาวาสดีมากให้พวกเราพักพิง


"ขณะที่นางพยายามกำลังปั้มหัวใจช่วยคนเจ็บอยู่ก็ถูกยิงเสียชีวิต การ์ดก็ตาย โหดมาก พวกเราไม่ได้กินข้าวกินน้ำกันเลยตี 5 ตั้งแต่ทหารเริ่มปฎิบัติิการ พวกเขามากล่าวหาว่าพวกเราเป็นผู้ก่อการร้าย เราไม่มีอะไรเลย มีแต่พัด แล้วมากล่าวหาว่าเราเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นผู้ก่อการร้าย ถ้ามีปืนจริงคิดว่าจะเหลือหรือไงก็ยิงออกไปสิ บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป สั่งฆ่าใครฆ่าให้หมดจับใครได้ก็ฆ่าให้หมด" ยายคำสอนกล่าว


"กลัวก็กลัวแต่สู้ ช่วยๆกัน ระเบิดโยนมาไม่ถูกพวกเราก็ถูกคนอื่น ลูกปืนยิงมาไม่ถูกเราก็ถูกคนอื่น การ์ดผู้ชายรับปืนรับระเบิดแทนผู้หญิงหมด แต่ผู้หญิงตายเยอะหนีไม่ทันทั้งคนแก่และเด็ก แล้วยังยิงฝรั่งที่มาทำข่าวอยู่กินกับพวกเรา แล้วยังจะมาหาว่าเป็นพวกผู้ก่อการร้ายยิงอีก มันโหดร้ายแค่ไหนรัฐบาลนี้จะเอาเราไปประหารก็เชิญเพราะพูดความจริงเลย เพราะรัฐบาลทำได้ทุกอย่าง" ยายชาวหนองคายพูดอย่างไม่กลัวความผิดและภัยถึงตัว


"เราไม่ใช่คนมีความรู้แต่เป็นชาวนาเต็มตัวจะบอกว่า แม้แต่เด็กยังไม่ไว้ชีวิต คนแก่คลานไปร้องขอชีวิตยังโยนทิ้ง ไม่ตายก็โยนเข้ากองไฟ เอาศพไปทิ้งไม่ให้เห็นศพ" ยายคำสอนกล่าวย้ำอีกครั้งก่อนจะบอกว่าได้เข้าไปหลบอยู่ในวัดปทุมวนารามหลวงปู่ก็เทศนาให้ฟังแก๊สน้ำตาก็ยิงเข้ามาในวัดใจสั่นไปด้วยนั่งพนมมือไปด้วย ไม่ตายก็เหมือนตาย เราผ่านสนามรบมาแล้วไม่เห็นต้องกลัวอะไรอีกต่อไป


ขณะที่นายสุชาติ พรั่งพรหม นปช.จันทบุรี กล่าวย้ำถึงภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยิน ว่า "เห็นทหารยิงประชาชนตอนนั้นพักอยู่ที่วัดปทุมวนารามเห็นศพอยู่ในวัด 6 ศพ บาดเจ็บอีกประมาณ 10 คน ยิงพยาบาล(อาสาสมัคร)ในวัดที่กำลังทำแผลให้กับคนเจ็บก่อนยิงยังด่าพยาบาลอีกว่าอีเสื้อแดงมึงเก่งนักหรอแล้วก็ยิงเลย เป็นทหารแก่แล้วมีผมหงอก "


เสียงส่งท้ายของคนเสื้อแดงก่อนอำลาเมืองกรุง กลับบ้านพร้อมกับบาดแผลในใจ ความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิตบนเส้นทางการเรียกร้องประชาธิปไตยได้รับบทเรียนที่แสนล้ำค่าที่สุดในชีวิตของมวลชนคนธรรมดาที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาตกอยู่ในสมรภูมิรบท่ามกลางสงคราม "คนไทยฆ่ากันเอง" จนแทบเอาชีวิตไม่รอด

Facebook | Piangdin Rakthai: ผมรักเสื้อแดง... ขนาดนี้เลย...

Facebook | Piangdin Rakthai: ผมรักเสื้อแดง... ขนาดนี้เลย...

เมื่อรักแล้ว ก็จะขอรักอุดมการณ์ที่เชื่อมั่นนี้ต่อไป

และไม่รู้เป็นยังไง ผมชอบคำพูดหรือข้อความที่ไม่ต้องเลิศหรูฟังหรืออ่านดูดีเหมือนคำไอ้อภิสิทธิ์และผู้ลากมากดีทั้งหลาย
ผมชอบที่จะเชื่อข้อความอย่างนี้ครับ

อยากจะบอก อยากจะเล่าให้ฟัง แล้วให้พวกท่านได้คิด
ผมไปนอน อยู่ในวัด ปทุม 15 วัน ในนั้น เราจับกลุ่ม มี ผม หนึ่งคน เพื่อน ในกรุงเทพ ผัวเมีย 2 คน ขายของ อยู่ที่นั่น นอน หน้าวัด ผู้หญิง อีก 3 คน จากแถวๆชายทะเล และคน จร จาก จังหวัดไหน ไม่ทราบ นอน อยู่ใกล้ๆ รถ ผม ข้างโบสถ์เล็ก ตรงทางเข้า เลย ศาลาฉัน มานิดหนึ่ง กับ ชายบอกว่า เป็น ทหาร เก่า จาก จังหวัด สุรินทร์ 4 คน พร้อมด้วยคนที่มาจากที่เดียวกับผมอีก หนึ่ง คน กลุ่มของเรา ช่วยกัน เฝ้าดูแล เรา จับทหาร หรือ ตำรวจที่ ปลอมเข้ามา ได้ 2 คน และจับผู้ต้องสงสัย หนึ่ง คน รวมทั้ง ตำรวจ ที่ ใช้ สถานที่ ของวัด อยู่ใน มูลนิธิ อะไรสักอย่าง อยู่หลัง สหกรณ์ ของวัด เป็นที่ ส่งข่าวและรูป ของพวกเรา ออกไปทาง คอม อินเตอร์เน็ต และที่อยากจะบอกคือ คนกลุ่มของเรา หลังจากวันที่ 19 เหลือรอด กลับมา เพียง 3 คน เท่านั้น นอกนั้น ตายเรียบ คือคนที่ มาจาก ที่เดียวกับผม เขาออกไปก่อน ไปอยู่ที่ คลองเตย คนนี้ ปลอดภัย แต่กำลังหนี และ 2 คน ผัวเมีย ออกมา เช้าวันที่ 20 สำหรับตัวผม กลับมาก่อน เพราะต้องมาดูแลเรื่องงาน และเรื่องลูก จะเข้าโรงเรียน ว่าจะกลับไปเขาก็ปิดทางเข้าออกหมดแล้ว และสิ่งที่พวกคุณพูด ใส่ร้ายเรา คุณโกหก ครับ ถ้าพวกเรามีอาวุธ เราคงไม่ปล่อย ให้พวกคุณ เดินตามทางรถไฟฟ้า มายิงเราดอกครับ แต่นี่เพราะเราไม่มี เพื่อนผมจึงตาย ขนาด หน้าห้องอาบน้ำในวัด คุณยังส่องเราจนตาย ความจริงคือความจริง ไม่เป็นไร ผ่านแล้วก็ผ่านไป แต่ขอให้ พวกเราทุกคน จำไว้ ว่า ผู้อำนาจเท่านั้น คือผู้ชนะ และผู้ชนะ จะทำอะไรก็ได้จะพูดอย่างไรก็ได้ และขอพูดอีกอย่าง หนึ่ง คือการเผาเซนทรัล พวกเสื้อแดง อยู่ในนั้น หลายร้อยคน ตามใต้ถุน ลานจอดรถ พวกเราจะเผาทำไม ในเมื่อมีพวกเราอยู่ในนั้น และใครละที่ยิงไม่ให้คนเข้าไปดับไฟ ไม่ใช่พวกที่บน รางรถไฟฟ้าหรือ ที่เป็นคนยิง และถ้าจำไม่ผิด รูปที่มีพระถูกมัดมือไขว้หลัง นั่งบนเก้าอี้ รูปนี้ไม่ใช่ใต้ถุนเซนทรัล หรือครับ และเก้าศพใต้ถุนเซนทรัล จะเป็นใครละครับ คุณ

ทำไมไอ้อภิสิทธิ์ถึงกล้าพูดหลอกตัวเองและหลอกคนอื่นได้ขนาดนี้

Facebook | Videos Posted by แดง แต่นี้ ตลอดไป: สู่วันแห่งปวงประชา

ทำไมไอ้อภิสิทธิ์ถึงกล้าพูดหลอกตัวเองและหลอกคนอื่นได้ขนาดนี้
มันเป็นโรคประสาทหรือเปล่า?

เป็นวิดีโอคลิปที่เรียบเรียงได้ดีมากครับ